วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถุงยางอนามัยกับวันวาเลนไทน์ปี 2553

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้อ่านข่าวความเคลื่อนไหวชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการจัดเทศกาลคานิวัลอันโด่งดังของประเทศบราซิล โดยมีการพาดหัวข่าวว่า

บราซิลแจกถุงยางอนามัย 55 ล้านชิ้นในเทศกาลคานิวัล

แล้วมีการขยายความว่า ริโอ เดอ จาเนโร – เจ้าหน้าที่สุขภาพชาวบราซิล เริ่มต้นการรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องเอดส์ และจะดำเนินการแจกจ่ายถุงยางอนามัยจำนวน 55 ล้านชิ้นในช่วงเทศกาลคานิวัล

โดยโฆษณาใหม่ในรายการทางทีวี จะมีการพูดถึงถุงยางอนามัยให้ชัด ๆ เพื่อเตือนให้วัยรุ่นพกพาถุงยางอนามัยไปด้วยเมื่อออกไปร่วมงานปาร์ตี้

และนายโฮเซ่ เท็มโปรัล รัฐมนตรีสาธารณสุขของบราซิล ได้ออกมาพูดว่า การรณรงค์ในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การให้การศึกษาแก่วัยรุ่นหญิงและเกย์ให้ใช้เครื่องมือการป้องกัน โดยมีสโลแกนว่า

“ถุงยางอนามัย (ไม่ว่าจะเพื่อ) ความรัก ความเมตตา หรือแม้เพียงแค่เซ็กส์ ก็ให้ใช้มันทุกครั้ง”

แม้ว่าในปีนี้รัฐบาลจะไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะแจกจ่ายถุงยางอนามัยออกไปจำนวนเท่าไหร แต่ปีที่แล้วรัฐบาลได้แจกจ่ายถุงยางอนามัยฟรีออกไปเกือบ 500 ล้านชิ้น ทั่วประเทศบราซิล หรือคิดเฉลี่ยได้ว่า ประชาชนบราซิลจะได้รับถุงยางเฉลี่ย 2.6 ชิ้นต่อคน

สำหรับในบ้านเรา ในช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ผมได้ยินผู้ประกาศข่าวทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งรายงานว่า “มีเสียงแสดงความไม่เห็นด้วยกับ การรณรงค์ของรัฐบาลในวันวาเลนไทน์ แล้วก็อ้างถึง คน 2 คน โดยนักข่าวเรียกคนแรกว่า “เจ้เบียบ” (คุณระเบียบรัตน์ พงค์พานิช) และ อ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์จากจุฬาฯ” ว่าทั้งสองให้ความคิดเห็นว่า

* การณรงค์มุ่งเน้นไปในเรื่องเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นมากเกินไป
* การรณรงค์มุ่งเน้นไปที่การแจกจ่ายถุงยางอนามัย

พร้อมกับบอกว่ามีข้อเสนอว่า แทนที่จะมุ่งไปในทิศทางดังกล่าว รัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญกับเรื่อง
* การรณรงค์เรื่องความรักของครอบครัว เป็นเรื่องของพ่อ แม่ ลูก ก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่กว้างไปกว่าเรื่องเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น และ
* แทนที่จะมุ่งเน้นเรื่องการแจกถุงยางอนามัย ก็น่าจะส่งเสริมเรื่อง การรักนวลสงวนตัวดีกว่า
ผู้ประกาศข่าวช่องนั้น ไม่ได้ให้รายละเอียดว่า ใคร/คนใดวิจารณ์หรือให้ข้อเสนอใด เพราะเป็นการพูดรวม ๆ ไป

เนื้อข่าวมีแค่นั้นเองครับ อีกทั้งยังเป็นเวลาสั้น ๆ เพียง 2 – 3 นาที ที่ผู้ประกาศข่าวพูดถึงเรื่องนี้ก่อนไปพูดเรื่องอื่นต่อ แต่ผมเอาเรื่องนี้มาคิดต่อครับว่า

การเสนอข่าวแบบนี้ อาจเป็นอคติของการทำข่าว ที่พยายามสร้าง คู่ความคิดเห็นตรงข้าม โดยอ้างหลักการว่า ต้องมีมุมมองข่าวให้รอบด้าน แต่บ่อยครั้งคำว่ารอบด้าน มักจะเป็น ความคิดเห็นตรงกันข้าม แบบขัดแย้งกันด้วย ซึ่งส่งผลกระทบให้สังคมไม่ได้เรียนรู้อะไรมากไปกว่า ต้องเลือกข้าง ว่าชอบหรือไม่ชอบความคิดเห็นข้างใด

แต่หากไม่ใช่อคติของผู้ประกาศข่าว ก็เป็นไปได้ว่า...
สังคมของเรายังมองเรื่องเพศแบบแยกข้าง แยกส่วนจากกัน แล้วก็พยายามเสนอความคิดเห็นของตนเองเป็นหลัก อยู่กันคนละส่วน คนละพื้นที่ คนละมุม โดยไม่มีการสร้างพื้นที่ตรงกลางในเรื่องเพศขึ้นมาเลย ราวกับว่า ต้องเลือกเอาว่าจะเสนอเรื่อง เพศสัมพันธ์กับถุงยาง หรือว่า เสนอเรื่อง ความรักบริสุทธิ์กับการรักนวลสงวนตัว (ของเด็กผู้หญิงด้วยเท่านั้น)

เรามีพื้นที่ตรงกลางจริง ๆ ไหมครับ
เรามีทางเลือกเรื่องเพศสัมพันธ์ที่กว้างขวาง จริง ๆ หรือเปล่าครับ และ
เราควรแจกจ่ายถุงยางอนามัยในสังคมดีไหมครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. คิดว่า คนที่แสดงความคิดเห็นต่อสังคม(เจ๊เบียบ/อ.จากจุฬา)ก็เสนอความคิดผ่านการตีความโดยใช้อุดมการณ์ความเชื่อ มุมมอง โลกทรรศน์ของตนเองเป็นหลัก ซึ่งใครๆ ส่วนใหญ่ก็มีลักษณะแบบนี้ แม้แต่ตัวเองก็ตาม

    ถ้าหากจะรณรงค์เรื่องการรักนวลสงวนตัวก็คงต้องทำให้เป็นเรื่องที่ต้องรณรงค์ทั้งหมด ไม่ใช่มุ่งไปที่ผุ้หญิง แต่เรื่องความรักพ่อแม่ในที่นี้อาจจะไม่ค่อยเห็นชัดว่าจะทดแทนความรักแบบวัยรุ่น หน่มสาวได้อย่างไร (ที่อาจมาด้วยเพศสัมพันธ์ และเลยเถิดไปถึงการไม่ป้องกันตนเองได้อย่างไร)เพราะมันคนละแบบกัน

    ถึงที่สุด ก็อาจจำเป็นต้องใช้การรณรงค์ในหลายแบบ และการรณรงค์ในแต่ละแบบก็มีจุดมุ่งหมายในตัวเอง และอาจเหมาะสมกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะรณรงค์ได้ในทุกกลุ่มเสมอไป และมันมีขั้นตอนของมัน เช่น

    1)รณรงค์ให้รักนวลสงวนตัว บางคนเขาก็ทำได้จริงๆน่ะ (และโดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผุ้หญิงอีกน่ะแหล่ะ)
    2)ถ้ารักนวลสงวนตัวไม่ได้ แต่จะยินยอมพร้อมใจกับหนุ่มนี้/สาวนี้แล้ว ก็ต้องมีความรู้ที่จะป้องกันตนเองไม่ให้ท้อง/ติดเชื้อ
    - ถ้าถึงขึ้นจะคุยกันได้ว่ามีความปลอดภัยหากไม่ใช้ถุงยาง ก็เลือกไม่ใช้ (แต่ข้อนี้ต้องคุยกันแฟร์ๆ ซึ่งความเป็นจริงมีน้อยคู่จะทำได้ ซึ่งก็คือช๊อยส์มีคุ่คนเดียวนั่นเอง เพราะความเป็นจริงของมนุษย์ บางอารมณ์บางช่วงก็อยากจะมีคู่คนเดียว บางอารมณ์ก้อยากมีคู่หลายคน กลับไปกลับมา และบางคนก็มีคนเดียวตลอด บางคนเลือกไม่มีกับใคร)
    -ถ้าถึงขั้นคุยกันได้ว่าจะใช้ถุงยางตั้งแต่เริ่มต้น อย่างนี้ก็ชิวๆๆ ครั้งต่อไปไม่ต้องมีคำถามว่า ตอนแรกไม่ใช้ ทำไมตอนนี้มาใช้ ไว้ใจ/ไม่ไว้ใจกันหรือเปล่า วุ่นวายพิลึก

    สรุปได้ด้วยประสบการณ์ตนเองว่า รักนวลสงวนตัวอย่างเดียว เฝ้ารอไอ้หนุ่มในดวงใจมาสอย โดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รุ้จักทักษะในการจัดการชีวิตทางเพศของตัวเอง ยึดติดกับภาพลักษณ์สาวสวยใสไร้สติ/หนุ่มสะอาด ถุงยางนะเหรอ ยี้ ! นั้นไม่พอที่จะทำให้ชีวิตทุกคน(โดยเฉพาะผู้หญิง) ปลอดภัยจากโรคติดต่อและปัญหาท้องที่ไม่พร้อมได้เลย

    ถุงยางก็คือ ถุงยาง มันทำหน้าที่สร้างความปลอดภัยให้กับคนที่ใช้มัน สะกดจิตตัวเองให้ได้ โดยปล่อยวางทัศนคติว่า มันเป็นของสกปรก(ทั้งที่จุดประสงค์มันสร้างความสะอาด) เป็นของคนที่มีคู่หลายคนออกไป ถุงยางก็คือถุงยาง ให้มันทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่เถอะ อย่าสร้างเงื่อนไขทางสังคมที่จะเลือกไม่ใช้มันเลยนะ เสียดายของ

    ตอบลบ
  2. ส่วนตัวผมสำหรับเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยนะ
    ก็ช่วยรณรงค์กันไปแหละครับ
    ใครรับสารหรือเห็นค่าก็ดีไป
    ใครที่รับสารแล้วไม่เข้าใจหรือไม่ทำตาม
    ก็ตามแต่วิถี
    ไปเจอบล็อกดีๆมาเลยเอามาฝากกัน

    http://tool-check-sex-size.blogspot.com/2010/06/blog-post_24.html

    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆและ comment ดีๆครับผม

    ตอบลบ